HISTORY OF ROLEX SERIAL NUMBER 


 
 
 
“Serial Number” ของทาง Rolex ทุกคนจะสังเกตเห็นได้รอบๆ lugs หรือ รอบๆขอบภายในหน้าปัด รวมทั้งฝาข้างหลังนาฬิกาในรุ่นก่อน ซึ่งจะมีตัวเลขผสมกับตัวเขียน หลายๆคนอาจจะสงสัยว่าเพราะเหตุไรจะซื้อ Rolex ต้องมีคำถามเกี่ยวกับ Serial Number หรือ ซีรี่ส์ ทุกครั้งไป พวกเราจะมาอธิบายหลักการความเป็นมาสำหรับในการผลิต Serial Number ออกมา ให้รู้กันครับ 


 
          ปี 1927 เป็นปีที่ Rolex ได้ประทับ Serial Number ลงไปบน Case ของ Rolex ที่ผลิตทุกชิ้นเป็นครั้งแรก มีการพูดกันว่า เลขลำดับแรกมิได้เริ่มที่เลข 1 แต่ว่าเป็นเลขประมาณ 20,000 


 
          พอถึงปี 1953 จำนวน Serial ถึง 999,999 แทนที่ Rolex จะใช้หลักที่ 7 หรือหลักล้าน แต่ตัดสินใจกลับไปเริ่มต้นใหม่แทน แถมยังเป็นที่น่าสงสัย แทนที่จะเริ่มจาก 000001 หรือ 20,000 อย่างเดิม Rolex ไปเริ่มต้นใหม่ที่โดยประมาณหลัก 10,000 หรือบางครั้งอาจจะน้อยกว่านั้นนิดหน่อย 
          ในเวลาเดียวกันนั้น (ราวๆปี 1953-1959) Rolex ก็ได้นำระบบประทับตราวันที่โดยการใช้เลขโรมันปั๊ม I,II,III,IV มาบ่งบอกไตรมาส (Quarter) แล้วก็มีตัวเลข 2 หลัก เจาะจงเลขปี ค.ศ. ยกตัวอย่างเช่น III53 ก็คือนาฬิกาเรือนนั้นผลิตประมาณไตรมาสที่ 3 ของปี 1953 
 

 
          ปี1960 จำนวน Serial มาถึงเลข 999,999 Rolex เลยตัดสินใจไปสู่หลักล้าน โดยเพิ่มจำนวนหลักที่ 7 เข้าไป แล้วก็ใช้ต่ออีกยาวนานหลายปี 
 

 
          ปี1970 Rolex ได้เลิกใช้ระบบปั๊มจำนวน Serial ลงบนฝาหลัง ซึ่งทางแบรนด์อาจคิดได้ว่า การสลัก Serial Number ลงไปตรง Lug หรือ ขอบบนตัวเรือนที่มีสายบังอยู่ก็สามารถใช้ได้แล้ว แถมฝาข้างหลังยังสามารถสลับกันได้อีก 
 

 
          ปี 1987 เลข Serial number ก็ครบถึงเลข 9,999,999 แทนที่จะเริ่มด้วยจำนวน 8 หลัก ทางRolex ได้เริ่มคำขึ้นต้นด้วยตัวหนังสือ A-Z แต่แทนที่จะเริ่มด้วย A ทางแบรนด์ก็เลยเริ่มจากตัวอักษรชื่อแบรนด์ก่อนนั้นเป็นคำว่า ROLEX เช่น R ต่อจากนั้น L, E รวมทั้ง X (ROLEX ที่ใช้ตัวหนังสือ O เพราะเหตุว่ามีความคล้ายเลข 0) หลังจากที่ไล่ตัวจนถึงครบคำว่า ROLEX ทางแบรนด์ก็ต่อด้วย N,C,S,W,T,U,A,P,K,Y,F,D,Z,M,V,G ซึ่งไม่ทราบแน่ชัดว่าใช้วิธีการอะไรนำมาใช้ 
 

 
          ปี 2010 Rolex ขายนาฬิกาได้ปีละล้านเรือน ตัวอักษรทั้งหมดจึงหมดลง Rolex ได้นำระบบ Random Series มาใช้ในช่วงปลายปี 2010 โดยมีวิธีการคือ จัดชุดตัวหนังสือทั้งหมด 8 หลัก แต่ละหลัก สามารถเป็นตัวเลขหรือตัวหนังสือภาษาอังกฤษก็ได้ เช่น 5F28EDFK, 7876876F หรือแม้แต่ 99999999, AAAAAAAA ด้วยความหลากหลายของตัวอักษรรวมทั้งจำนวนผสมกัน 8 หลัก จะสามารถสร้างชุดจำนวนที่ไม่เหมือนกันได้ถึง 36 ยกกำลัง 8 (จำนวน 0-1 รวมทั้งตัวเขียน A-Z มาเรียงสลับกัน 8 ตัวไม่ซ้ำกัน) หรือประมาณ 2,821,109,907,456 แบบ แต่ระบบนี้ Rolex จะไม่ใช่ O และก็ I ด้วยเหตุว่ามันจะทำให้สับสนกับเลข 0 รวมทั้ง 1 เลยเหลือเพียง 34 ยกกำลัง 8 แต่ว่านั้นก็ยังเหลืออีกตั้ง 1,785,793,904,896 แบบให้ใช้อยู่ดี พูดได้ว่า ต่อให้ Rolex ขายนาฬิกาได้ปีละล้านเรือนไปเรื่อยๆก็จำเป็นต้องใช้เวลาอีก 1.785 ล้านปี จำนวนชุดนี้ถึงจะถูกใช้หมด ข้อเสียของระบบนี้คือทำให้มูลค่าของนาฬิกาที่มีตัวเลข Serial ที่สัมพันธ์กับปีหมดไป